Saturday, September 17, 2011

ESL

ESL คืออะไร
ESL ย่อมาจาก English as a Second Language
เป็นคลาสเรียนที่สอนสำหรับคนที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักค่ะ เหมาะสำหรับคนต่างชาติ ต่างภาษาอย่างเราๆนี่เอง
การเรียน มักจะสอนครอบคลุมทุกskill ทั้ง ฟัง พูด อ่าน เขียน และ Grammarค่ะ
มีกันตั้่งแต่ระดับ Basic ถึงขั้นสอนอ่าน A B C ไปจนถึง ระดับสูงที่เจ้าของภาษาเค้าเรียนกันเลยทีเดียว
... (level ต่างๆ จะอธิบายเพิ่มในหัวข้อล่างๆต่อไปนะคะ)

Q:หาที่เรียนใกล้บ้านได้อย่างไร
เริ่มจากหาที่เรียนก่อนนะคะ วิธีง่ายๆสองวิธีนะคะ
googleเลยค่ะ key word ก็ใส่คำว่า
ESL in … หรือ ESL class .. หรือ Adult school … แล้วตามด้วยที่อยู่ค่ะ
วิธีนี้ง่ายสุด หาเจอแน่นอน และ เข้าไปดูเวปไซด์ของทางโรงเรียนได้ด้วย ว่ามีคลาสแบบไหน มีอะไรให้เรียนบ้าง
อีกวิธีคือ ไปที่ห้องสมุดใกล้บ้านค่ะ เค้าจะมีพวกโบรชัวร์หรือแคตตาลอคของรร.ต่างๆ มาวางไว้ค่ะ
ถ้าแถวบ้านมี high school หรือ รร.ระดับชั้นต่างๆ เด็กเล็กเด็กโต ลองไปถามดูค่ะ
บางที่ก็มีคลาสเปิดสอนเช่นกัน อย่างแถวบ้านเรา ก็เป็นครูจาก community collegeนี่หล่ะ
มาเปิดสอน off campus ส่วนมากเป็นภาคค่ำ และอาจไม่มีคลาสหลากหลายให้เลือกเรียน
แต่ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ลองไปสอบถามตามโบสถ์ก็มีนะคะ แต่คงไม่ได้มีคลาสเรียนที่หลากหลายนัก

Q:เอกสารใช้อะไรบ้าง
เรื่องเอกสารนี่ตอบยากมากเลยค่ะ คุณต้องติดต่อตรงกับทางรร.เอง เพราะแต่ละที่ มีกฏไม่เหมือนกันค่ะ
บางที่ไม่ต้องการอะไรเลยค่ะ ไม่ขอดูบัตรใดๆทั้งสิ้น บางที่ต้องการ ssn และ/หรือ ID card ค่ะ

Q:เรียนที่ไหนดี ระหว่าง Adult School หรือ Community College
อันนี้ต้องเปรียบเทียบกัน และพิจารณาเองว่า คุณต้องการแบบไหนนะคะ จะเปรียบเทียบให้เห็นเป็นข้อๆนะคะ

“ค่าเรียน”
มาว่ากันที่ปัจจัยหลักก่อนเลยค่ะ เรื่องเงินนั่นเอง มาดูกันว่าค่าเรียนต่างกันอย่างไร

Adult School
ส่วนใหญ่จะเรียนฟรีค่ะ หรือไม่ก็จ่ายถูกมากๆ คิดกันเป็นเทอมละไม่กี่สิบเหรียญ แถมมี child care เลี้ยงลูกเลี้ยงหลานให้เราฟรีอีกต่างหาก
เรียกว่า เรียกนร.ให้ไปเรียนกันสุดฤทธิ์หล่ะค่ะ

Community College
ค่าเรียนของcollege จะแพงกว่าAdult Schoolนะคะ และส่วนมาก จะคิดตามหน่วยกิตค่ะ
บางcollege และ/หรือ บางรัฐ จะมีค่าเรียนเรทเดียวค่ะ
แต่บางรัฐ บางcollege จะแบ่งค่าเรียนเป็นสองrateนะคะ
Resident Rate สำหรับคนที่อยู่อาศัยในรัฐนั้นๆ ไม่ต่ำกว่า 1year 1day ค่ะ
อันนี้เค้าต้องการให้ประชาชนในท้องที่ ได้สิทธิจ่ายค่าเรียนที่ถูกกว่าค่ะ
Non-resident rate คือ คนที่อาศัยอยู่ในรัฐนั้นๆ ต่ำกว่า 1year 1day นะคะ จะต้องจ่ายค่าหน่วยกิตเพิ่ม แพงกว่า resident
ส่วนแพงกว่าเท่าไหร่ก็ต่างกันไป ตามค่าเรียนของ collegeนั้นๆค่ะ
(ยกตัวอย่างที่เราเรียนอยู่ non-resident จะต้องจ่ายเพิ่มหน่วยกิตละ $200ค่ะ วิชานึง 3-5หน่วยกิต
ก็คูณกันเอาเองนะคะ ว่าต้องจ่ายแพงกว่าเท่าไหร่)
( ส่วนมาก International student ก็จ่ายเรทเดียวกับ non-resident นะคะ)
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น college ก็มีทุนการศึกษาให้กับคนที่รายได้ต่ำค่ะ เราไปติดต่อขอทุนเรียนฟรีได้
หรือสมัครทุนอื่นๆเป็นเงินจำนวนเท่านั้นเท่านี้ก็ว่ากันไปค่ะ

เนื้อหา หรือ level  เรียนอะไรบ้าง
ก่อนจะเรียน หลังจากที่เราสมัครแล้ว ส่วนมากทางโรงเรียนจะให้เราสอบวัดระดับความรู้
หรือที่เรียกกันว่า placement test กันก่อนเลยค่ะ การสอบ เราทำให้เต็มความสามารถของเรา
เพื่อที่เราจะได้เรียนในระดับที่เหมาะสมกับเราที่สุดค่ะ
ไม่ต้องเกร็ง ไม่ต้องแอบดูคนข้างๆ เอ๊ย ไม่ต้องกังวลว่าจะได้คะแนนเท่าไหร่ ทำให้เต็มที่ของเราเป็นพอค่ะ

เนื้อหา บางรร.จะแบ่งเป็นskillไปเลย ฟัง พูด อ่าน เขียน Grammar ส่วนมาก ฟังและพูดจะเป็นห้องเดียวกัน
แต่บางที่อาจมี skil lอื่นๆแบบผสมผสาน เช่น Grammar+Writing เรียนคลาสเดียวกัน


Adult School ส่วนมาก จะไม่ได้มีหลาย level หรือแบ่งแยกประเภทตาม skill หรือมากห้องเรียนนักนะคะ
เคยเจอบางที่เป็นห้องเรียนผสม เอาสอง level มาเรียนรวมกันก็มี เพราะจำนวนนร.ที่น้อยนั่นเอง
ส่วน College ส่วนมาก จะมีห้องเรียนที่มากกว่า หลากหลายกว่าให้เลือกเรียนค่ะ
แต่อย่างไรก็แล้วแต่ ควรสมัครเรียนแต่เนิ่นๆ เพราะชั้นเรียนจะเต็มเร็วค่ะ
มีทริคนิดนึงว่า ถ้าชั้นเรียนไหนที่เราจะลงมันเต็ม ให้เราลง waiting list ไว้นะคะ เพราะว่า หลังจากที่เปิดเทอมไปได้สักพัก
นร.มักจะหายไปอย่างลึกลับ อุ๊ย ไม่ใช่ คือมักจะมีนร.ที่จู่ๆก็เลิกเรียนไปเฉยๆ เยอะเลยค่ะ

เก่งเฉพาะด้านแล้ว เลือกเรียนบางskill ได้ไหม
ส่วนใหญ่จะได้นะคะ หลายๆที่ เปิดให้นร.เลือกเรียนได้ตามใจชอบ และตามสะดวกเลยค่ะ
แต่ส่วนมาก เวลาที่คุณสอบ placement testแล้ว ผลเทสต์จะบอกเลยว่าคุณแข็ง หรืออ่อน skill ไหน
บางที ฟังพูด อาจได้ Level สูง เพราะหัดอยู่ทุกวัน แต่แกรมม่ากับเขียน อาจได้ Level ที่ต่ำกว่า ก็เป็นไปได้เช่นกันค่ะ

บางคนอาจเก่งในบางskill แล้ว แต่บางด้านอาจต้องการเพิ่มนะคะ เช่น ฟัง พูด เราอาจหัดทุกวันที่บ้านกับแฟน หรือ ญาติๆ

แต่ว่าการไปเรียนเนี่ย จะสอนลึกไปถีงการหัดพูดที่ถูกต้อง การออกเสียง และหัดฟังเพื่อ taking note
คลาสนี้ เราว่าจำเป็นสำหรับคนที่คิดจะเรยนต่อในอเมริกานะคะ
ส่วน writing ก็แนะนำเช่นกันค่ะ โดยเฉพาะคนที่จะเรียนต่อในระดับสูงๆต่อไปค่ะ ได้ใช้แน่ๆ มีประโยชน์
การเรียน writing ก็จะได้เรียน Grammar ไปในตัว หรือบางที่่อาจรวบสองวิชานี้ไว้อยู่แล้วก็ได้ค่ะ

บรรยากาศในห้องเรียน คนสอน เพื่อนร่วมห้อง สถานที่เรียน
Adult School มักจะเป็นรร.เล็กๆ บรรยากาศและคนเรียนก็ไม่ได้สมชื่อนะคะ
อย่า คิดว่าไปเรียนadult schoolแล้วจะเจอแต่คนแก่ๆหรือผู้ใหญ่มาเรียนนะคะ จริงๆ มีทุกวัยหล่ะค่ะ แต่ที่จะเยอะมักจะเป็นพวกบรรดาคุณแม่ค่ะ
เพราะที่ Adult Schoolเนี่ย มักจะมีฟรี child careบริการไว้ด้วยค่ะ บรรดาคุณแม่ก็จะชอบมาเรียน เพราะมีคนช่วยเลี้ยงลูกให้ ระหว่างที่เรามาเรียนค่ะ
จะว่าดีก็ดีนะคะ แต่ว่า ตรงนี้จะมีผลเสียกับเพื่อนร่วมห้องที่ตั้งใจเรียน หากว่าบังเอิญมาเจอคุณแม่ที่ไม่ได้ตั้งใจเรียน เพราะคุณแม่บางคนแค่ต้องการให้ลูกได้เข้าchild careค่ะ เค้าจะมีกฏว่า ถ้าแม่ขาดเรียน ไม่มาเรียน ก็จะพาลูกไปฝากไม่ได้
แม่บางคน อยากให้ลูกได้เข้า child care เพราะเค้าจะมีสอนหลายๆอย่างให้เด็ก
เช่นสอนร้องเพลง สอนวาดรูป พูดง่ายๆ pre school กลายๆนี่หล่ะ คุณแม่อยากให้ลูกได้เรียน เลยต้องพาตัวเองมานั่งในห้องเรียน ESLค่ะ
บางคน ก็ดี ถือโอกาสนี้ให้ตัวเองได้เรียนรู้จริงๆ ได้เรียนไปพร้อมๆกันทั้งแม่และลูก
แต่บางคนไม่ใช่ค่ะ เค้าแค่มานั่งเล่นๆ ฆ่าเวลาเท่านั้น ถ้านั่งเงียบๆก็ดีไป แต่ถ้าไม่สนใจเรียนแล้ว ทำความรำคาญให้เพื่อนร่วมห้อง
เช่นคุยกัน คุยโทรศัพท์ อันนี้เราที่ต้องการจะเรียนอย่างจริงจังก็จะไม่ได้ความรู้ไปค่ะ

อีกเรื่องที่นร.Adult schoolมักจะเป็น คือ เขิน อาย หรือไม่ค่อยอยากจะพูดจะคุย หรืออ่าน
เวลาที่คนสอนให้เราฝึกสนทนาจับคู่กับ class mate เราก็จะไม่ได้ความร่วมมือที่ดีค่ะ
บาง ที่ แทนที่จะจับคู่หัดสนทนากับเรา ก็ดันชวนคุยซะงั๊น หรือไม่ได้สนใจหัดจริงจัง แต่หันไปคุยภาษาบ้านเกิดตัวเองกับเพื่อนร่วมชาติร่วมภาษา
แทนที่จะได้หัดภาษาอังกฤษ กลับไม่ได้หัดซะนี่
(อันนี้เล่าจากประสบการณ์ที่เจอจริงๆนะคะ เพื่อนร่วมห้องดีๆก็มีนะคะ แต่ขอยกตัวอย่างที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ให้ลองอ่านดูค่ะ)

มาดูทาง College กันบ้าง college จะเรียนจริงจังกว่า Adult School เยอะค่ะ
จะขาดเรียนเป็นว่าเล่นแบบ Adult School  ก็ไม่ได้นะคะ จะโดนเรียกไปตักเตือนกันเลย
หรือไม่ก็ถีงขั้น dropไปค่ะ เรื่องเรียน เรื่องการบ้าน จะเป็นการเป็นงานกว่ากันเยอะค่ะ
class mate ก็มีหลายวัยเช่นกันกับ Adult School  นะคะ
แต่ว่า จะหลากหลายกว่าตรงที่ นร.ที่Adult School ส่วนมาก พื้นฐานการศึกษาจะมีกันมาน้อยค่
แบบชนิดที่ว่าบางคน เคยเรียนหนังสือมาแค่ไม่กี่ปีจากบ้านเกิด แต่สำหรับ College เนี่ย คุณจะเจอเพื่อนร่วมห้องที่หลากหลายมากค่ะ

บางคนจบป.ตรี หรือ โท มาจากประเทศเกิดเค้ากันแล้วก็มีค่ะ
(อันนี้อย่าเพิ่งหาว่าเราดูถูกคนที่การศึกษานะคะ ตัวเราก็ไม่ได้ใช่ว่าจะการศึกษาสูง เราก็เรียนมาน้อยเหมือนกัน ) แต่ที่ยกตัวอย่างเรื่องนี้เพราะว่า จากประสบการณ์ที่เรียนมา ทั้งที่ College และ Adult School
นร.ที่มีพื้นฐานการศึกษามาน้อย จะเข้าใจอะไรยากค่ะ เวลาเรียน คนสอนจะเสียเวลาค่อนข้างมาก
ใน การทำให้เค้าเข้าใจสิ่งที่พยายามสอน อันนี้อาจทำให้คนที่เข้าใจแล้ว ต้องเสียเวลาหรือว่า อาจจะรู้สึกอึดอัดที่ต้องฟังเรื่องที่สอนแล้วสอนอีกค่ะ
ตรงนี้เนี่ย ครูที่เคยสอนเค้าบอกเรามาเองว่า นร.บางคนในห้อง ยังเรียนไม่จบ ประถม มาจากประเทศเกิดเค้าด้วยซ้ำ
แล้วพอต้องมานั่งเรียนเป็นภาษาอังกฤษ เลยทำให้เค้าเข้าใจช้ากว่าเพื่อนๆร่วมห้องค่ะ)
นร.ที่ college ส่วนใหญ่จะตั้งใจเรียนกันมากค่ะ อีกอย่างที่สำคัญคือ ที่College จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้เรามากกว่า
เช่น มี counselor ให้เราได้ปรึกษาเรื่องเรียน และหลังจากเรียน ESLจบแล้ว เราก็ต่อยอดเพื่อเรียนอื่นๆได้
ลยค่ะ

สำหรับคนที่คิดว่า จะมาเรียนต่อ เอา degree ที่อเมริกา ไม่ว่าจะเป็น AA/AS degree ป.ตรี ป.โท หรือ สาขาอาชีพต่างๆ ก็ดี

การ มาเรียนESL ปูพื้่นฐานไว้ จะเป็นประโยชน์ต่อตัวคุณเองมากๆ การที่เราเคยได้เรียนภาษาอังกฤษมาบ้างแล้วจากไทยก็จริง แต่ห้องเรียน ESL จะสอนเราหลายอย่างค่ะ เวลาที่เราเรียนระดับสูงไปแล้ว หากว่าพื้นฐานภาษาอังกฤษเราสู้เจ้าของภาษาไม่ได้ มันจะทำให้เราลำบากในการเรียน ทำการบ้านหรือรายงานก็ลำบาก แนะนำว่าการมาปูพื้่นฐานด้วยการเรียน ESL จำเป็นอย่างมากค่ะ

จากประสบการณ์ตรงที่เรียน ESL มาร่วมๆ สองปีเศษนะคะ บอกตรงๆว่า ภาษาอังกฤษได้พัฒนาไปมาก
เพื่อนๆสามี ออกปากแทบทุกคนว่า ภาษาเราตอนนี้ดีขึ้นกว่าตอนมาใหม่ๆอย่างเห็นได้ชัดค่ะ
เราได้พัฒนาทั้งฟังพูดอ่านเขียน โดยเฉพาะเขียนเนี่ย ถ้าลำพังคุยกับสามี หรือคนรอบข้าง คงจะไม่ได้หัดการเขียน

แต่จากที่ไปเรียน writing class มาสองคลาส พบว่า จากที่เคยเขียนเป็นประโยคสั้นๆ ยังเขียนแทบไม่ออก
ตอนนี้เขียน Essay เป็นเรื่องเป็นราว อย่างถูกต้องตามหลักการเขียนเลยค่ะ
ไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าจะทำได้ จากคนที่เคยเรียนตกวิชาภาษาอังกฤษตอนเรียนมัธยม ตอนนี้เปลี่ยนไปเยอะเลยค่ะ อยากให้กำลังใจเพื่อนๆในการเรียและหวังว่า ที่นั่งหลังขดหลังแข็ง พิมพ์กระทู้นี้ขึ้นมา เป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่สนใจจะเรียนทุกคนนะคะ

ปล. เล่าจากประสบการณ์ และที่เรียนอยู่ใน CA นะคะ แต่ละรัฐและแต่ละที่อาจมีแตกต่างกันบ้าง
แต่หลักๆแล้ว จะเหมือนๆกัน ตามที่ให้ข้อมูลในกระทู้นี้นะคะ เพราะนอกจากประสบกาณณ์ตรงแล้ว
ก็รวบรวมจากที่อ่านประสบการณ์เพื่อนๆที่อาศัยอยู่รัฐอื่นๆด้วยนะคะ

ที่มาข้อมูล...โจโจ้

2 comments:

  1. ข้อมูลนี้ดีค่ะพี่ดา แต่ว่าอ่านไม่จบนะ ง่วงไว้จะมาอ่านใหม่

    ReplyDelete
  2. ขอบคุณข้อมูลจากคุณ DaDaLove มากเลยค่ะ เพราะกำลังหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่พอดี ตอนนี้อยู่ CA เหมือนกันค่ะ กำลังจะไปทดสอบความรู้อาทิตย์นี้แล้ว หรือไม่เกินอาทิตย์หน้าค่ะ แฟนจะพาไป กังวลอยู่เลย พออ่านนี่แล้วรู้สึกดีขึ้นเยอะ....ขอบคุณเกร็ดความรู้ดีดีที่นำมาเสนอนะคะ

    ReplyDelete

My photo
ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษ ยังมีโมหะ โทสะ โลภ โกรธและหลง เหมือนกับคนอื่นๆ แต่ทุกลมหายใจ ณ.เวลานี้ มีแต่วันนี้และพรุ่งนี้ คิดดี ทำดี และเป็นกัลยาณมิตรที่ดี สร้างกุศลให้ลูกหลาน