Thursday, May 31, 2012

Annual Fee- Bank of America

May31,12
ดาเป็นลูกค้ารายหนึ่งที่ใช้บริการของธนาคาร Bank of America ที่เลือกใช้บริการเนื่องจากตอนเดินทางมาอยู่อเมริกาใหม่ๆ เป็นธนาคารเดียวที่สามารถเปิดบัญชีได้โดยที่ไม่ต้องใช้เลขของ SSN และตั้งใจจะใช้บริการที่เดียวเพียงพอแล้ว

เมื่อประมาณปลายเดือนที่แล้ว ได้รับจดหมายแจ้งหนี้การใช้บัตรเครดิตของธนาคาร Bank of America พอเห็นรายการสุดท้าย อารมย์ปริ๊ดขึ้นสมอง

โดนธนาคารคิดเงินค่าธรรมเนียมการใช้บัตร Visa -Annual Fee 39$ and tax total 40.85$ สมองปริ๊ดๆๆและโกรษจัดมาก



 ไม่ใช่อะไรหรอกคะ  เนื่องจากได้รับวงเงินเพียงแค่ 1000$ เอง ซึ่งไม่ได้มากอะไรในความรู้สึก ถ้าเปรียบเทียบเป็นเงินบาทก็แค่ 30000 บาทเอง


แต่ก็ต้องยอมรับว่ากว่าจะเปิดเครดิตกับธนาคารได้ ก็เลือดขึ้นหน้าเหมือนกัน ตอนขอวินาทีแรกให้วงเงินดาแค่ 300$ ดาตอบกับเจ้าหน้าที่ว่า ไม่พอใช้ เจ้าหน้าที่ก็เพิ่มให้อีกเป็น 500$ ดาก็ตอบกลับทันทีว่าไม่พอใช้เหมือนกัน ให้คุณดูจากบัตรเครดิตเก่าเราที่ไทย อ้างเป็นหลักฐานและประวัติได้ทั่วโลก
ดาก็แข็งมากเหมือนกันนะวันนั้น เจ้าหน้าที่ก็ถามอีกว่า ดาต้องการเท่าใด
ดาก็ตอบแบบว่าต้องการ 3000$

 เจ้าหน้าที่ก็ตอบแบบว่า ต้องเสียใจด้วยนะครับ ผมสามารถอนุมัติให้คุณได้แค่ 1000$ ก่อนนะครับเต็มที่ที่ผมจะอนุมัติให้คุณได้ในวันนี้ เนื่องจากคุณเพิ่งเดินทางมาอยู่อเมริกา และยังไม่มีรายได้อะไรเลย รอให้คุณมีรายได้ก่อน และค่อยปรับวงเงินให้นะครับ

เจอข้อแม้นี้ ดาต้องยอมรับว่าเครดิตเรายังไม่มี เลยต้องยอมรับเงื่อนไขวันแรกมา กับวงเงิน 1000$ แถมด้วยธนาคารเก็บเงินสดไว้กับธนาคาร เพื่อเป็นหลักประกัน 1000$  ดาก็อารมย์ปริ๊ดอีก ทำไมต้องยึดเงินฉันด้วย

เจ้าหน้าที่ แค่ระยะสั้นนะครับ ทางธนาคารจะดูว่าทางคุณมีความสามารถชำระเงินคืนกับธนาคารได้ไหม และจะโอนเงินให้ทันที ที่พิจารณาผ่านครับ

ฟังดูแล้วรื่นหูตัวเองหน่อย เพราะมั่นใจกับระบบบริหารการใช้บัตรตัวเองได้ดี
สรุปก็ได้ บัตรวีซ่าการ์ดมาได้ พร้อมวงเงินแค่พันเดียว

เวลาผ่านไปก็เกือบปีแล้ว เพิ่งจะได้รับเงินประกันคืนมาให้ เป็นเช็คธนาคาร สั่งจ่าย มาในนามดาเลย วงเงิน 1000$

เวลาก็ผ่านไปจนมาเดือนที่แล้ว เจอบิลวางค่าธรรมเนียม  อารมย์ปริ๊ดกำเริบอีกแล้ว ทนไม่ไหวแล้ว โทรไปขอยกเลิกบัตรเครดิตวีซ่าเลยละ เจ้าหน้าที่ถามว่าจะเลิกทำไม ไอไม่พอใจการให้บริการของธนาคารยูและเก็บค่าธรรมเนียมไอแพงเกินไป เจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่า จะให้เงิน Money Award 30$  คืนให้ เนื่องจากประวัติยูดีมาก

แหม ไม่ดีได้งัยละ เวลาไม่มีบิลส่งมา ดายังส่งเงินไปให้ ล่วงหน้าเป็นเดือนๆ เพราะเรารู้ยอดเงินใช้แต่ละเดือนเท่าใด ก็ส่งไปให้ทันที

ใช้ต่อเถอะ เดี๋ยวไอจะให้เงินคืนมา ดาไม่ยอมและไม่อยากจะใช้แล้ว

นั้นเปลี่ยนประเภทไหมคะ ทางธนาคารเรามีอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม เดี๋ยวทางเราจะส่งรายละเอียดไปให้ทางอีเมล์นะคะ

ดาโกรษจัดมาก ไม่อยากจะใช้จริงๆนะ และก็ส่งสายให้แม็ทคุยต่อ เพราะดาไม่ต้องการจะพูดอะไรแล้ว

สรุปแล้ววันนั้น จนมาถึงวันนี้ ก็ยังไม่ได้ยกเลิกให้ เพราะแม็ทบอกว่า "ดาจะใช้ต่อกับเจ้าที่ธนาคารไป"

แม็ทบอกว่า คุ้มนะ ได้ Money award 30$ และเสียค่าธรรมเนียมแค่ 10$ เอง

และดาก็ไม่เคยหยิบ Visa card มาใช้อีกเลยตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ ไปไหนจ่ายสดอย่างเดียว สบายดี
และยังโมโหไม่หาย มีประเภทที่ไม่ต้องเสียเงินค่าธรรมเนียม และทำไมเจ้าหน้าที่ธนาคารที่เปิดบัญชีวันแรก ไม่แนะนำให้ใช้นะ หน้าตาก็หล่อ ยิ้มแย้มดี ตัวเองก็ไม่เข้าใจระบบธนาคารที่นี่มากเท่าใด มาใหม่ความรู้น้อย

ก่อนอื่น ต้องบอกว่า ความไม่รู้อะไรเลย เป็นบ่อเกิดของความโง่เขลา ฉะนั้น จะทำนิติกรรมใดๆ โปรดศึกษาข้อมูลให้มาก และ จะได้ไม่พลาดแบบเช่นนี้

Money Gram

May30,12
Money Gram เป็นการโอนเงินระหว่างประเทศอีกช่องทางเลือกหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะการใช้และให้บริการของ Western Uion ที่เหมือนกัน

ประวัติที่มาของ Money Gram มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองดัลลัส ในรัฐเท็กซัส มีศูนย์ MoneyGram มากกว่า 256,000 แห่งใน 192 ประเทศทั่วโลก  การโอนเงินประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องมีเงินในบัญชีกับธนาคาร หรือมีบัตรเครดิตกับธนาคารใดในอเมริกา และเหมาะกับการโอนเงินจำนวนไม่มากและไม่ถึง 10,000 ดอลล่าร์สหรัฐ

ข้อดี ผู้รับเงินปลายทางสามารถได้รับเงินแบบเร่งด่วนภายในเวลาไม่เกิน 10 นาที

สถานที่ ที่รับโอนเงินระหว่างประเทศ (International Money Transfer) Money gram
ที่สามารถหาพบได้ที่ Walmart ในปัจจุบันนี้ แต่มีที่อื่นหรือไม่ยังไม่ทราบ ส่วนตัวใช้บริการที่ Walmart ติดต่อที่แผนก Custom Service

ขั้นตอนการโอน
1. รับแบบฟอร์มสีแดง มากรอกรายละเอียด
1.1 มีช่องของผู้รับปลายทาง ให้ระบุ ชื่อ นามสกุล และเบอร์โทรของผู้รับ
1.2. ยอดเงินที่ต้องการจะส่ง พร้อมข้อความฟรี ไม่เกิน 10 คำ
1.3 Recive Option ระบุประเภทว่าต้องการรับแบบไหน จะเป็นแบบภายใน 10 นาที หรือ 24 ชม.
1.4 ช่องผู้ส่ง กรอกชื่อ นามสกุล ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์
1.5 เซ็นต์ชื่อ และระบุวันที่
2.  รอคิว เพื่อรอรับบริการ
3. ติดต่อเจ้าหน้าที่ ชะรำเงินค่าธรรมเนียมการโอน
4. รอรับใบเสร็จ และรหัสการโอนเงิน (ตรวจสอบรายชื่อ สกุล ผู้รับให้ถูกต้องก่อนออกจากเคาน์เตอร์)

ค่าธรรมเนียมการโอน จากอเมริกา-ไทย ( แบบภายใน 10 นาที)
เงินโอน  300$            ค่าธรรมเนียม  9.90$
เงินโอน 500$             ค่าธรรมเนียม   9.90$
เงินโอน 600$             ค่าธรรมเนียม 15.50$

( เพิ่มเติม ถ้าโอนเข้า Mexico start 4.75$)






ขั้นตอนการรับเงินที่ไทย คือ
ติดต่อรับเงินได้ที่ธนาคาร  3 ธนาคารพาณิชย์ที่ให้บริการ คือ
1. ธนาคารไทยพาณิชย์ ศึกษาเพิ่มเติมจาก http://www.moneygram.com/MGI/TH/TH/Market/Market.htm?CC=TH&LC=TH
2. ธนาคารทหารไทย http://www.tmbbank.com/personal/foreign-exchange/international-remittance/moneygram-transfer.php
3. ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย http://www.cimbniaga.com/index.php?ch=cn_p_db&pg=cn_p_db_rem&ac=1&tpt=niaga

 การค้นหาตัวแทนเข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์ https://www.moneygram.com/wps/portal/moneygramonline/home/findlocation?countryCode=TH&languageCode=th

ผู้รับเงินปลายทาง ประเทศไทย

กรอกแบบฟอร์มของธนาคารที่ต้องการใช้บริการ พร้อมทั้งนำหลักฐานแสดงตัวตน เช่น บัตรประจำตัวประชาชนถ้าอยู่ในประเทศไทย หากพำนักอยู่ในต่างประเทศให้แสดงหลักฐานคือหนังสือเดินทาง พร้อมกับระบุ Reference Order No. ด้วย

เงินที่ได้รับจะเป็นเงินบาท (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยน ต่อวันที่โอนที่เงินต้นทาง) หรือสามารถดูที่ใบเสร็จจาก Walmart จะแสดงยอดเงินที่คำนวนเป็นเงินบาทที่ได้รับปลายทาง

มาเพิ่มเติม:-
สถานที่ให้บริการโอนเงิน Money Gram สามารถทำได้ ที่ ACME เพิ่มอีกแห่งที่นอกเหนือจาก Walmart

Tuesday, May 29, 2012

คนเช่นไรจึงจะหาทรัพย์ได้

คนเช่นไรจึงจะหาทรัพย์ได้

คำว่า “ทรัพย์” มี 2 อย่างคือ โลกิยทรัพย์ ได้แก่ สมบัติ เงิน ทอง เป็นต้นอันเป็นทรัพย์ภายนอก และ โลกุตรทรัพย์ ได้แก่ 
สัทธา เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ 
ศีล รักษากายวาจาให้เรียบร้อย 
หิริ ความละอายต่อบาปทุจริต 
โอตตัปปะ สะดุ้งกลัวต่อบาป 
พาหุสัจจะ ความเป็นคนเคยได้ยินได้ฟังมามาก คือ ทรงจำธรรมและรู้ศิลปะวิทยามากมาก
จาคะ สละให้ปันสิ่งของของตนแก่คนที่ควรให้ปัน ปัญญา รอบรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ อันเรียกได้ว่าเป็นทรัพย์ภายใน  

 ในที่นี้จะขอกล่าวเฉพาะแต่โลกิยทรัพย์เท่านั้น ขึ้นชื่อว่า “ทรัพย์” ใครก็อยากได้ ใครก็ปรารถนา เพราะ “ทรัพย์” นั้นจะกล่าวไปก็คล้ายกับแก้วสารพัดนึก สามารถจะดลบันดาลทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเจ้าของได้ คนมีทรัพย์จะได้รับการยกย่องเชิดชู

 ในครั้งพุทธกาล พระราชาทรงตั้งไว้ในตำแหน่ง“เศรษฐี” มีธนัญชัยเศรษฐี อนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นต้น ปัจจุบันนี้ คนมีทรัพย์ ใครๆ ก็นับเป็นญาติ ไปไหนมาไหนทุกคนก็เกรงใจให้เกียรติ ทุกคนจึงแสวงหาแต่ทรัพย์กัน วันๆ หนึ่งคนเราจะสาละวนยุ่งอยู่กับธุระหน้าที่การงาน ก็เพื่อทรัพย์ทั้งนั้น คนไม่ขยันก็ไม่สามารถจะหาทรัพย์ได้ ต้องเป็นคนขยันเท่านั้น

 คนเช่นไรได้ชื่อว่าเป็นคนขยัน คนขยันมีลักษณะ คือ คนขยันจะก้มหน้าก้มตาทำงานโดยไม่เกี่ยงว่า อากาศมันหนาวเกินไป อากาศมันร้อนเกินไป ทำงานได้ทั้งนั้นไม่ว่าจะอยู่ในสภาพดินฟ้าอากาศอย่างไร ไม่ผลัดวันประกันพรุ่งว่า เวลานี้เย็นแล้วแล้วพรุ่งนี้ค่อยทำเถอะ เวลานี้ยังเช้าอยู่สายหน่อยค่อยทำ ไม่ปริปากบ่นว่า หิวมากขอกินก่อน กระหายนักขอดื่มก่อน ลักษณะอย่างนี้เรียกว่า คนขยัน
แต่คนอีกประเภทหนึ่ง ไม่จัดว่าเป็นคนขยัน คือขยันในการขอ คนประเภทนี้ไม่ยอมทำการทำงาน ทั้งๆ ที่อวัยวะก็มีครบทั้ง 32 ประการ ไม่พิกลพิการในส่วนใด เที่ยวขอเขากินเรื่อยไป คนประเภทนี้ไม่จัดว่าเป็นคนขยัน ถึงจะขยันก็ขยันแบบขี้เกียจ คนขยันต้องขยันในการทำงาน ที่เกิดขึ้นจากน้ำพักจ้ำแรงของตนอย่างมีเกียรติ ไม่กินแรงผู้อื่น ไม่เอาเปรียบผู้อื่น ไม่เป็นผู้ที่ถูกดูหมิ่นดูแคลนจากผู้อื่น คนพิการทางร่างกาย อวัยวะไม่สมประกอบ ไม่สามารถประกอบกิจในหน้าที่การงาน คือทำมาหากินได้ อย่างนี้สมควรจะได้รับความเมตตาจากผู้คน
ก็เป็นอันว่า คนขยันเท่านั้นจึงจะหาทรัพย์ได้ คนขี้เกียจไม่ต้องพูดถึง ความสำคัญของการที่ได้ทรัพย์มาแล้วจะทำอย่างไร จึงจะรักษาทรัพย์นั้นไว้ได้ ถ้าหากหามาได้แล้วเก็บไว้ไม่อยู่มันก็ไม่มีประโยชน์ เหมือนเอาภาชนะก้นกลวงไปตักน้ำ ตักได้น้ำเต็มภาชนะแล้วน้ำไม่อยู่จะมีประโยชน์อะไร
ประโยชน์ของการมีทรัพย์อยู่ที่การรู้จักรักษาทรัพย์ที่หามาได้นั้นไว้ให้ได้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แนะวิธีรักษาทรัพย์ที่หามาได้ว่า “ผู้ขยันในหน้าที่การงาน ไม่ประมาท เข้าใจจัดการเลี้ยงชีวิตพอสมควร จึงรักษาทรัพย์ที่หามาได้” พระพุทธภาษิตบทนี้ ได้ตรัสสอนผู้ที่แสวงหาทรัพย์มาได้แล้ว จะรักษาทรัพย์นั้นไว้ให้ได้ จะต้องไม่ประมาทในทรัพย์นั้

 อย่างไรจึงได้ชื่อว่า ประมาทในทรัพย์ คนบางคนแสวงหาทรัพย์มาได้โดยง่าย เมื่อได้มาแล้วก็ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย ไม่รู้จักเก็บหอมรอมริบเอาไว้ใช้ในยามคับขันจำเป็น ด้วยคิดเห็นว่า เงินทองจะเอาเท่าไรก็ได้ บางรายใช้จ่ายเกินตัว อย่างนี้จะมีเงินที่ไหนไปเก็บ การที่จะรักษาทรัพย์ไว้ได้อยู่ที่การรู้จักประหยัด รู้จักมัธยัสถ์ โดยนิสัยคนไทยเราเป็นคนใช้จ่ายฟุ่มเฟือยไม่ค่อยรู้จักประหยัด ชอบฟุ้งเฟ้อไปตามกระแสแฟชั่น อะไรที่ใหม่ๆ เข้ามาก็จะพากันนิยมชมชอบ ถึงแม้ราคาจะแพง ก็พยายามขันแข่งกันมีให้ได้ เข้าทำนองที่ว่า “รายได้น้อยแต่รสนิยมสูง” อย่างนี้ได้ชื่อว่าประมาทในทรัพย์
ให้เข้าใจจัดการเลี้ยงชีวิตพอสมควร หมายความว่า ให้จับจ่ายใช้สอยเลี้ยงชีวิตให้พอเหมาะพอควรแก่ทรัพย์ที่หามาได้ ไม่ให้ฝืดเคืองจนเกินไป และก็ไม่ให้ฟุ่มเฟือยจนเกินไป บางคนทำมาหาได้ แทนที่จะนำทรัพย์นั้นมาใช้จ่ายให้มีความสุขบ้าง ก็เก็บไว้หมด แต่ตัวเองกลับอดอยาก อย่างนี้ก็ไม่ถูก หรือฟุ่มเฟือยเกินไป พอทำมาหาได้ก็กินแต่อาหารดีๆ แพงๆ ไม่พอเหมาะพอควร ต้องควบคุมให้อยู่ในความพอเหมาะพอควรแก่ทรัพย์ที่หามาได้

 การที่จะใช้จ่ายทรัพย์ที่หามาได้นั้น จะใช้จ่ายอย่างไรจึงจะถูกต้อง จึงจะดี ก็ต้องใช้จ่ายในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ประโยชน์ที่เกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์ที่มีอยู่ ท่านกล่าวไว้ 5 อย่าง คือ
1. ใช้เลี้ยงตัวเอง เลี้ยงบิดามารดา เลี้ยงบุตร ภรรยา เลี้ยงลูกจ้าง คนงานให้เป็นสุข
2. ใช้เลี้ยงเพื่อนฝูงให้เป็นสุข
3. ใช้บำบัดอันตรายที่เกิดแต่เหตุต่างๆ
4. ใช้ทำพลีกรรม คือ สงเคราะห์ญาติ ต้อนรับแขก ทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย ถวายหลวง มีเสียภาษีอากรเป็นต้น ทำบุญอุทิศให้เทวดา
5. บริจาคทานแก่ สมณะ ชีพราหมณ์ ผู้ประพฤติชอบ



  ผู้ที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นพ่อบ้านหรือแม่บ้าน ถ้าประสงค์จะให้ครอบครัวของตนมีหลักฐานมั่นคง มีความสุข ต้องปฏิบัติตามธรรมดังกล่าวมา เพราะเมื่อต่างคนต่างนำเอาหลักธรรมดังกล่าวนี้ไปประพฤติปฏิบัติแล้วแต่ละครอบครัวก็จะมีหลักฐานมั่นคง อยู่กันอย่างมีความสุข เมื่อครอบครัวมั่นคงเป็นสุขแล้ว ประเทศชาติก็จะมีหลักฐานมั่นคงไปด้วย

พระมหาวินัย วินยธโร
วัดเทวราชเวนิส เมืองเตรวิโซ่ ประเทศอิตาลี

โดย...ดาขอทำหน้าที่เป็นสะพานบุญแก่เพื่อนๆทุกคนที่แวะเยี่ยมเยียนบ้านหลังนี้ ขอให้ทุกท่านมีความสุขถ้วนหน้า สาธุ สาธุ


ตัวตน

"ตัวตน"

เมื่อพูดถึงตัว..ตน สรุปง่าย ๆ ก็คือ ร่างกายของเรานี่เอง ในร่างกายของเรามีอะไรบ้าง..? ตอบว่า..ก็มีตา หู จมูก ลิ้น หัว แขน ขา เหล่านี้เป็นต้น ท่านเรียกว่า กาย คือองค์ประกอบของร่างกาย ส่วนอีกอย่างที่สำคัญมากกว่ากายนั้นก็คือ ...ใจ
...
ใจ... ถ้าไม่รักษาคุ้มครองป้องกันไว้ให้ดี ปล่อยให้ตกไป ในอารมณ์ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจซึ่งมากระทบประสาททั้ง ๕ แล้ว ส่งเข้าไปหาจิตให้รับรู้แล้วสั่งการ ให้ทำกิริยาวาจาต่างๆ ตามความประสงค์ จิตเปรียบเหมือนนาย กายเปรียบเหมือนบ่าว อนึ่งเปรียบจิตเหมือนกับคนเชิดหุ่น กายเหมือนหุ่น กาย วาจา เมื่อทำเมื่อพูด ก็ทำก็พูด ตามที่จิตสั่ง หุ่นจะกระดิกพลิกแพลงเคลื่อนไหวจะโยกซ้ายย้าย ขวาไปข้างหน้าหรือข้างหลังด้วยท่าทางต่างๆ ก็เพราะอาศัยคนเชิดชักสายให้เป็นไปอย่างนั้น เมื่อตน คือจิต ผู้สั่งการไม่ควบคุมรักษา ย่อมจะทำผิดพูดผิดคิดผิดได้ ไม่เป็นไปเพื่อ ประโยชน์ มีแต่เกิดทุกข์ทั้งแก่ตนและผู้อื่น เพราะไม่รักษาตนปล่อยให้ตกอยู่ในอำนาจ ของกิเลสเครื่องเศร้าหมอง ที่ชักให้ใคร่ให้หลง

เพราะฉะนั้น ท่านสาธุชนทั้งหลาย เมื่อทราบชัดเช่นนี้แล้วว่า ตนคือร่างกายของเรานี้มีอยู่ 2 ส่วน คือ กายและใจ กายนั้นอยู่ลำพังไม่ได้ต้องมีใจคอยบังคับบัญชา ใจก็เช่นเดียวกัน จะอยู่ลำพังได้ต้องมีกายคอยสนองตอบความต้องการ ฉะนั้นกายและใจจึงอาศัยซึ่งกันและกัน แต่ใจนั้นจะมีอำนาจบัญชาการได้ทุกอย่าง เมื่อเราทราบว่าใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธานแล้ว ควรรักษาใจ บำรุงรักษา ไม่ปล่อยให้ใจตกไปในอารมณ์ที่ไม่ถูกไม่ควร ถ้าเราบริหารใจของเราให้อยู่ในครรลองคองธรรมได้แล้ว ก็ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นผู้มีตน..คือเป็นคนที่ประกอบด้วยความดีอย่างสมบูรณ์.

พระมหาวินัย วินยธโร
เจ้าอาวาสวัดเทวราชเวนิส สาธารณรัฐอิตาลี



โดย..ดาขอทำหน้าที่เป็นสะพานบุญแก่เพื่อนๆที่แวะมาเยี่ยมเยียนบ้านหลังนี้ ขอให้เพื่อนๆมีความสุข มีสติยิ่งขึ้นเทอญ สาธุ สาธุ

Saturday, May 26, 2012

การซื้อคอนแทคเลนส์ประเทศอเมริกา

May 22,12

ดาเป็นคนหนึ่งที่มีชีวิตเคยชินกับการใช้คอนแทคเลนส์มากกว่าการสวมใส่แว่นสายตา ซื้อคอนแทคเลนส์มาจากไทยก็หลายกล่องเผื่อไว้เป็นปีเมื่อกลับไทยจะซื้อมาทีละครั้ง
แต่ช่วงชีวิตความขับขันก็เกิดกับตัวเองจนได้ เมื่อมีมากเกิน ก็ใช้แบบไม่ระวัง เสียหายบ้าง น้ำยาแช่แห้งบ้าง ทำหล่นพื้นบ้าง เห็นแล้วสกปรก ที่ทิ้งง่ายๆกันไป เพราะคิดในเสี้ยวสมองว่ามีสต๊อกอีกหลายกล่อง

อย่างที่บอกว่า ยามขับขันเมื่อไม่มีคอนแทคส์ พยายามช่วยเหลือตัวเอง เคยนั่งรถเมล์ แอบไปเดินเที่ยวห้าง เพื่อหาซื้อคอนแทคเลนส์แล้วครั้งหนึ่ง ถือกล่องเปล่ายี่ห้อที่ใช้ไปด้วย เผื่อไว้ก่อน เดินในห้างนานมาก กว่าจะเจอร้านแว่นตา และคอนแทคส์เลนส์เหมือนเราที่ไทย ไม่อยากจะเปรียบเทียบเลย ว่าไทยสะดวกกว่ากันมากมายแค่ไหน ลูกค้าเหมือนเทวดานางฟ้าจริงๆ แต่ที่นี่ไม่ใช่เลยคะ

เดินจนเจอร้านแว่นตาแล้ว ไม่รอช้ารีบเดินเข้าร้านทันที

ดา...May I buy contact lens
Saler... Sure!! Do you have discription
ดา... Sorry!! I don't have .. I just have a odler box..Here!!
Saler.. Sorry I couldn't sale for you....you should go to see doctor first

แค่นี้ละที่แกบอกไว้ งงเป็นไก่ตาแตกและก็ไม่สนใจเราเลย ดาเหมือนกระเหรี่ยงลงมาจากดอย เหมือนคนป่าที่ออกมาจากเขา ที่ไม่รู้อะไรเลย แถมไล่ให้ดาไปหาหมอก่อน และเอาใบอนุญาติซื้อได้กี่กล่องตามใบสั่งแพทย์

เออ...ประเทศนี้จะซื้อแค่คอนแทคเลนส์แค่นี้ ทำไมมันยากจัง

และการนัดพบแพทย์ก็ต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์ สองอาทิตย์ กว่าจะได้ตาราง และค่าพบแพทย์อีกเท่าไหร่ ขั้นต่ำก็ 40-50$ สมองตึบและมึนไปหมด เดินคอตก ขึ้นรถเมล์กลับบ้าน

และอดทนใช้คู่สุดท้ายแบบทำใจแล้ว ไม่มีก็ใช้แว่นตาไป ความคิดก็คิดกลับไปค่อยซื้อที่ไทย แต่ก็บ่นๆกับแม็ทเหมือนกันว่าคอนแทคเลนส์หมดแล้วไม่มีใช้ เบื่อๆๆจังประเทศอเมริกาเนี่ย อะไรก็ยากไปหมด

แม็ทบอกว่าเดี๋ยววันหยุดจะพาไปซื้อ...รอต่อไป

และก็รอผ่านไปแล้วอาทิตย์หนึ่ง

และก็รออีกวันหยุดหนึ่งผ่านไป

และก็รอมาครบอีกอาทิตย์หนึ่งที่เป็นวันหยุดอีกครั้ง....แม็ทช่วยขับรถพามาที่ Boscov's เพราะเคยเห็นว่ามีร้านแว่นตาในห้าง ดาก็แอบเอากล่องเปล่าคอนแทคส์ไปอีกครั้งเผื่อเหมือนเดิม เดิน เดินเพื่อหาว่าร้านอยู่ตรงไหน และก็เจอร้านได้แล้ว ไม่รอช้า

แม็ท..เดินเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ขายว่า อยากจะซื้อคอนแทคเลนส์ แต่ไม่มีใบสั่งแพทย์ซื้อได้ไหม ไอมีแต่กล่องเปล่ามา
คนขาย.. โอเค... เดี๋ยวไอ ไปดูสต็อกให้นะ ว่าแล้วก็เดินไปที่คอมพิวเตอร์กับแม็ท  เห็นกดไปกดมาที่คอมพิวเตอร์  ก็บอกว่า ยี่ห้อที่ดาใช้ไม่มีในนี้เลย เอ้าละสิ...
ดา...ไม่เป็นไรคะ ไอใช้ยี่ห้อ ACUVUE (Johnson&Johnson) ที่ยูเซลอยู่ก็ได้
คนขาย....โอเคตอบรับ และก็หันมาบอกราคาว่ากล่องละ 15.59 $ ซื้อ 4 กล่อง จะแถมการตรวจสายตาฟรีและมีแว่นตาให้อีกหนึ่งคู่ บอกราคาทั้งหมด 128$
ดา..อ้าว ทำไมมันแพงจังละ ไออยากซื้อแค่คอนแทคเลนส์นะ
คนขาย...ก็กดเล่นคอมต่อ โอ้...ไอเจอยี่ห้อของยูแล้วนะ ราคาเท่ากันด้วย กล่องละ 15.59$ จะเอากี่กล่องละ
ดา..ขอแค่ 2 กล่องพอคะ คราวนี้คนขายไม่ถามอะไรเพิ่มเลย และดาก็คว้าเงินสด จ่ายไป
คนขาย...จ่ายสดใช่ไหม
ดา..คะ
คนขาย..รับเงิน เข้าเครื่อง....ต็อกๆๆๆๆๆ แชะ เสียงจากเครื่องเก็บเงิน
ดา..รับใบเสร็จ และก็เดินไปหาแม็ทที่รออยู่หน้าร้าน..ยืนอยู่นาน ก็ถามแม็ทว่า ทำไมไอไม่ได้ของสักที ไอจ่ายเงินแล้วนะ
แม็ท...ของนะไม่ได้ตอนนี้หรอกนะ ต้องกลับมาเอาใหม่อีกอาทิตย์หรือสองอาทิตย์ ถ้าของมาก่อนทางร้านจะโทรแจ้งเรา
ดา..อ้าวทำไมยูไม่บอกไอละ ว่าไม่ได้ของเลย...บ่นๆๆๆ เซ็งจริงๆ

เออ กรรมจริงๆ ความโง่ตัวเอง จ่ายเงินสดแล้วแต่ยังไม่ได้รับของมาใช้ด้วย แถมต้องเสียเวลารออีกเป็นอาทิตย์ แม็ทก็ไม่เดินมาบอกว่าต้องสั่งของออนไลน์ก่อน เพราะตอนที่แม็ทคุยกับคนขายดายังยืนอยู่หน้าร้าน

เงินสดหายไปจากกระเป๋าเกือบ 32$ และได้คอนแทคเลนส์แค่ 2 กล่องเอง  แถมก็ยังไม่ได้รับของ และต้องเสียเวลาขับรถมารับของอีก อยู่ไทยราคานี้ได้ของไปแล้วเกือบ 5 กล่อง แถมมีของแถมอีกด้วย บ่นๆกับตัวเองในใจ...เซ็งจริงๆ

จนมาถึงบ้าน:-
ว่าไปแล้วก็ลืมไปว่าทางร้านส่งถุงอะไรมาให้แม็ท เพิ่งจะกลับมาเปิดถุงดู เจอของแถมคอนแทคเลนส์ที่มีวันที่กำกับ 2012/06 มาหนึ่งคู่ น้ำยา Eye drop กล่องเล็กหนึ่งกล่อง และน้ำยา Solution กล่องเล็กหนึ่งกล่อง.... คงจะคุ้มหน่อยใช่ไหมเอ่อ


บิลเงินสดที่จ่ายไป



June 7,12
กลับมาอัพเดท หลังจากที่สั่งจองออนไลน์กับร้านจำหน่ายคอนเทคเลนส์กับห้าง Boscov's ทิ้งช่วงเวลารอคอยก็เกือบสองสัปดาห์ เพื่อรอรับสิ้นค้า กว่าจะได้รับของ แทบจะเบื่อ

มาดูรูปร่างสิว่าสินค้า เป็นอย่างไรบ้าง

เป็นกล่องขนาดใหญ่ หนึ่งกล่องมี 6 ข้าง ก็คือ 3 คู่ ในราคากล่องละ 15.99 รวม tax แล้ว
เท่ากับคู่ละ 5.33 $ คิดเป็นเงินบาท 160 บาท (เหรียญละ 30 บาท)


สินค้าที่ซื้อมาจากไทย ราคากล่องละ 180 บาท แบบรายเดือน มีหนึ่งคู่


เมื่อเปรียบเทียบราคากันแล้ว สรุปว่า ซื้อที่อเมริกาถูกกว่าไทย 20 บาท ต่อกล่อง

เมื่อรับของแล้ว ถึงเข้าใจว่า ทางร้านสั่งสินค้าแบบกล่องใหญ่ให้เรา และไม่มีสินค้าแบบเดียวกับไทยให้ฉะนั้น ก็อย่าคิดมาก สำหรับผู้ใช้คอนเทคเลนส์ที่อเมิกานี่ แต่...
ข้อเสียเพียงแค่หาซื้อยากกว่าไทยเท่านั้น และยุ่งยากกว่า บางแห่งไม่จำหน่ายให้ต้องให้ลูกค้าพบแพทย์ก่อน เพื่อต้องการลายเซ็นต์รับรองจากแพทย์และเสียเงินเพิ่มเท่านั้น

แนะนำเพิ่มเติม เพิ่งจะเห็นจากโฆษณาทางทีวี สามารถ สั่งซื้อออนไลน์ ได้ที่ห้าง Walmart  หรือโทรสั่ง
1.800.walmart

ยังไม่เคยใช้บริการ เก็บไว้มีโอกาส ลองแล้วจะมาเล่าให้ฟังใหม่นะคะ

Thursday, May 17, 2012

Blueberry Muffin

May 17,12
เกิดมาก็ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะต้องมาทำเบอเกอรี่กินเหมือนฝรั่งตาน้ำข้าว นึกเสมอว่าเรื่องเบอเกอรี่เป็นเรื่องที่ยากและไม่ถนัด และไม่เคยที่จะมีความรู้สึกที่จะชอบเลย

แต่ความจำเป็นมันบังคับ เข้าตาจน ต้องมานั่งอ่านวิธีทำข้างซอง โอ้....มากีอด ทำไมมันง่ายอย่างนี้


ขั้นแรกเตรียมอุปกรณ์ก่อน มีถาด ผงแป้ง ถ้วยตวง และที่ตีแป้ง


จากนั้น เทผงแป้งลงใส่โถ ตวงน้ำ 1/2 ถ้วย



คนแป้ง จนเป็นเนื้อเดียวกัน


ตามคำแนะนำว่าต้องมีกระดาษรองสำหรับมัฟฟิ่น บังเอิญบ้านไม่เคยซื้อมาเลย ดัดแปลงจากแผ่นกรองกาแฟ พับครึ่งวงกลม และตัด และพับอีกครึ่งตัดออกอีก จะได้สี่ชิ้นต่อแผ่น

นำมาใส่ที่ถาดอบ ตักแป้งมัฟฟิ่น สองช้อนโต๊ะ


แป้งหนึ่งซอง ทำได้แค่ 7 ลูกเอง นำเข้าตู้อบ ตั้งอุณภูมิ ที่ 375 องศา  21 นาที


ผลงานกับการทำมัฟฟิ่นครั้งแรกของชีวิต


แกะกระดาษแผ่นรอง ผ่านไปแค่สองนาที เกลี้ยงจาน อร่อยกับฝีมือตัวเอง กินเองชมเอง

สวนครัว

May16,12
อากาศเริ่มมีแดดมาบ้าง เหมือนกับเริ่มเข้าเทศกาลซัมเมอร์แล้ว ก็เข้าช่วงเทศกาลปลูกพืชผักสวนครัว ตามทั่วไปแล้วฝรั่งก็จะนิยมปลูกกันแค่ต้นมะเขือเทศ ต้นพริกหวานบ้าง เป็ปปี่มินต์บ้าง

แต่เราคนไทย ก็นิยมปลูกพืชผักแบบไทยๆๆมากกว่า ที่จะจัดสรรหามาปลูกกันได้ แล้วแต่เมือง และสภาพอากาศ แต่เมืองของดาที่อยู่เป็นโซนตะวันออกของอเมริกา จะเป็นโซนอากาศเย็นหรือหิมะมากกว่า กว่าจะมีแดดออกก็เข้าเดือนพฤษภาคมของทุกปี กว่าจะได้ลงปลูกกันได้ ก็ไม่แน่ใจว่าผลผลิตจะออกมาทันให้กินก่อนจะมีหิมะมาในรอบปีอีกครั้งก็ประมาณตุลาคมหรือพฤศจิกายน เหมือนกับว่ามีอากาศร้อนและแสงแดดเพียงแค่สี่เดือนเอง

แต่เอาละก็ดีกว่าไม่มีเลย

เริ่มต้นเพาะต้นพริกขี้หนูสวนจากเม็ดตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนและเพิ่งจะโตให้เห็น

การเพาะเม็ด  ดาใช้วิธีห่อด้วยกระดาษทิชชูและโรยน้ำให้ชุ่มหมาดๆ หลังจากนั้นก็นำไปใส่ในถุงซิบล็อค พร้อมกับเป่าโป่งเพื่อให้มีอากาศด้วย ตามด้วยนำไปตั้งไว้ที่มีแสงแดดถึง อาทิตย์แรกผ่านไปไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงพร้อมกับขึ้นราด้วย


แต่ด้วยความเสียดาย  เลยจัดการใหม่ โดยคัดส่วนที่ขึ้นราทิ้ง หมั่นใส่น้ำทุกวัน พร้อมกับสังเกตุถุงต้องโป่งเสมอเพื่อให้มีอากาศในถุง เวลาผ่านไปอีกอาทิตย์ ผลการหมั่นเอาใจใส่ ได้ผลเกินคาดหมาย โตขึ้นมาเยอะมากและงามด้วย


ขั้นตอนการเตรียมแปลง

เนื่องจากพื้นที่บ้านมีน้อย เลยต้องตัดสวนดอกทิ้ง และขยายบริเวณเดิมให้กว้างขึ้น เกือบหนึ่งฟุต ความยาวของแปลงเท่าเดิม และต้องนั่งรื้อสนามหญ้าออก ถากหญ้าออกแทบแย่ และต้องสะบัดดินออก พร้อมกับต้องใส่ถุงกระดาษเท่านั้น เพื่อทิ้งไม่อย่างนั้นรถขยะเมืองนี้ไม่เก็บ ถ้าไม่เรียบร้อย

หลังจากนั้นขับรถไปซื้อดินที่ Home Depot  ประเภทดิน Miracle 10ถุง มาใส่แปลงที่เห็น ไม่พอคะ
ต้องขับรถกลับไปซื้อใหม่อีกครั้ง อีก 10 ถุง กว่าจะได้แปลงผัก

และก็ได้เริ่มลงมือปลูกพริกขี้หนูสวน ได้ 30 หลุม ใส่หลุมละ 3 ต้น กันตาย         
พร้อมกับปักไม้เป็นสัญญลักษณ์เวลารดน้ำ


รูปโชว์เดี่ยว


ยังมีเหลืออีก เลยใส่กระถางย่อยไว้อีกเกือบ 30 กระถางเผื่อแจกเพื่อน หรือปลูกแทรกที่ลงดินตายไป


ก็รอเวลาการเติบโตของพริกขี้หนูสวน ว่าการเติบโตจะได้เก็บกินมากน้อยแค่ไหน
 คุ้มกับค่าดิน 20 ถุงไหม

สะระเหน่
เป็นพืชที่กลับมาขึ้นใหม่จากปีที่แล้วที่ปลูกไว้แค่กอเดียว
แต่โครงการปีนี้จับแยกหน่อเป็นกระถางแขวนเพิ่มอีกหนึ่งจุด


Parsley
dark green italian (Plain Leaf)
ซื้อเม็ดมาและโรยปลูกกับแปลงข้างบ้าน ตั้งแต่ 4-25-12
ได้ขนาดที่เห็นในปัจจุบัน อายุ 21 วัน


แตงกวา
3-15-12 ทดลองเพาะเม็ดไว้ 3 เม็ด แต่ขึ้นมาแค่เม็ดเดียว
 อนุบาลไว้ในบ้านตลอดเดือนเมษายน
5-10-12 เพิ่งได้ลงดิน ข้างรั๊วบ้าน
ไม่รู้ว่าจะได้กินไหม ดูแลไม่เป็นด้วยละ


ถั่วฝักยาว
3-15-12 ทำการเพาะเม็ด เกิดขึ้นมาได้เกือบสิบห้าต้น
อนุบาลไว้ในบ้านตลอดเดือนเมษายน จนเลื้อยงามตามมุ้งลวด
5-10-12 จัดการลงดิน บริเวณหลังบ้าน พร้อมกับปักโครงหล็กเป็นซุ้มไว้ ปลูกหลุมเดียวกันหลายๆต้น
สังเกตุแล้วไม่งามเท่าที่ควร อาจจะเจออากาศหนาวบ้างในช่วงอาทิตย์ที่แล้ว



                                                                      มะกรูด
 ราชินีแห่งบ้าน ปลูกไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว และย้ายเข้าบ้านมาตั้งหน้าหนาวปีที่แล้ว ยังไม่ได้ฤกษ์ย้ายออกนอกบ้านเลย สังเกตว่าอยู่ในบ้านกลับงามกว่ากันเยอะเลย


ตะไคร้
แจกันนี้ได้ซื้อมาจากงานสงกรานต์ที่วัดไทย ปักแช่น้ำมาเป็นเดือน รากเจริญดี
6 ต้น 2$


มะเขือเทศ
ได้มาจากแดดดี้ซื้อมาฝากจาก Home Depot ตั้ง 4 ต้น
เลยจัดการปลูกข้างรั๊วข้างบ้าน
5-10-12 เพิ่งจัดการลงดิน


แอบหวังเล็กๆว่าการปลูกผักสวนครัว จะช่วยแก้ขัดเมื่อยามขัดสน มีเก็บกินได้ตลอดทั้งปี อยากให้ดกออกลูกออกผลงามๆ

Wednesday, May 16, 2012

Mother Day

May 13,12
วันนี้เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของที่นี่ คือวันมาร์เตอร์เดย์ ก็อาจจะเหมือนที่บ้านเราก็ได้ที่มีวันแม่เหมือนกัน เจอแม็ทตั้งคำถามว่าที่เมืองไทยมีวันมาร์เตอร์เดย์ไหม ดาก็ตอบทันทีแบบไม่ต้องคิดนานหรอก บ้านเมืองฉันนะไม่เชยหรอก มีทุกเทศกาล ไทย จีน ฝรั่ง เหมาทุกชาติ ทุกเทศกาลรวมอยู่ที่เมืองไทยหมด ร้านอาหารก็มีทุกชาติเหมือนกันนะ เวียดนาม อิตาลี่ ฝรั่งเศส ได้โอกาศโม้ต้องรีบคว้าไว้ เดี๋ยวจะไม่ยอมมานั่งฟัง

ดายอมไม่ได้หรอก จะมามองว่าบ้านเมืองไทยเราเชยๆๆ ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารเราก็ทันสมัยกว่า สนามบินเราก็ทันสมัย มีครบเครื่องทุกอย่าง

ว่าแล้ววันสำคัญก็มาถึง เดิมทีตั้งใจไปปิคนิคกันที่ปาร์คดาลาแวร์ แต่แล้วน้องสะใภ้เกิดอาการปวดหลังกระทันหัน ต้องเข้าโรงพยาบาล เลยต้องเปลี่ยนสถานที่มานัดเจอกันที่บ้านมัมมี่

มัมมี่เตรียมอาหารหลายอย่าง แต่ญาติๆยังมาไม่พร้อมกันเลย เลยเหลือแต่ดากับแม็ทที่อยู่กันนานที่สุด กินจนพุงกาง ดาไม่มีของขวัญอะไรพิเศษสำหรับมัมมี่ แค่ให้เงินก้นถุง 50$และกิ๊ฟวอร์เชอร์สปาเล็บ 50$ แทบจะน้อยมากที่ให้ได้ แต่ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้วนะเวลานี้

และสิ่งนี้ที่มัมมี่มอบให้ดากลับมา


 และสิ่งนี้จากแม็ท ที่ขอออกอนุญาติออกไปซื้อให้ที่ KOHL ตอนเช้าตรู่


แม็ทบอกว่า กล่องนี้ดาต้องชอบ เพราะแม็ทรู้ใจดา ..จริงๆก็ชอบที่มีสีม่วงเท่านั้นละ ยี่ห้ออะไรก็ไม่รู้จักเลย 63.74$ แถมแม็ทบอกว่านาฬิกาที่ดาใส่ของ Longines  ไม่ดี แม็ทไม่ชอบสู้เรือนนี้ไม่ได้..โม้จริงๆพ่อคุณ


รองเท้าคู่นี้ไปคว้าของเด็กมาแน่ๆ เบอร์เล็กจิ๋วเลย เบอร์ 6 แต่ดาใส่เบอร์ 7 คับ แต่ก็ยัดเท้าลงเหมือนกัน
ให้ใส่ไปเที่ยวทะเล แต่ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะมีโอกาสไหม ทะเลอยู่ไหนยังไม่รู้จักเลย คิดถึงหาดป่าตอง หาดกะหน..ตระหงิดเลย


เห็นสิ่งนี้แล้วบอกตรงๆว่าเสียดายเงินสุดๆ ถาดทำคัพเค็ก 31.49 $   ถาดค็อกเทล 5 ชิ้น 29.99$ แพงเกินไป บอกว่าให้เอาไปคืน และขอเป็นเงินสดดีกว่า ยอมเป็นคนหน้าเงินแล้วละกับของสองสิ่งนี้


รถจักรยานคันงาม ราคาเต็ม 139.99$ ลดราคามาเหลือ 69.99 $
เอ่อ..ซื้อมาได้งัยเนี่ย


ว่าแล้ววันแม่ปีนี้ก็จบลงที่บ้านมัมมี่ นั่งคุยกันแบบครอบครัวเล็กๆที่ไม่มีใครกันมากนัก หลานๆก็โตกันมาก กิจกรรมนอกบ้านเยอะขึ้น เลยทำให้บ้านมัมมี่เงียบเหงากว่าทุกปี

มานั่งเห็นภาพนี้แล้วทำให้นึกถึงวันข้างหน้ากับตัวเองจัง เราจะเหงามากน้อยแค่ไหน ลูกๆก็โตกันหมดแล้ว ต่างก็ต้องโตและแยกย้ายกันไป  มองเห็นแล้วเหงาจัง....

Wednesday, May 9, 2012

กับข้าวมังสวิมัสแบบง่าย

May8,12

วันนี้ตื่นเช้าลงมาชั้นล่างพอดีก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์บ้านเข้ามาแต่เช้า ก็เดินไปดูว่าเป็นเบอร์ใคร แต่โทรศัพท์ก็ไม่โชว์อะไรว่าเป็นเบอร์ใคร หน้าจอมืดสนิท ก็ตัดสินใจรับสายขึ้นมา

ฮัลโหล..ปลายทางเป็นสำเนียงไทยแท้เลย

ใจก็นึกว่าใครหนอ....นั่นพี่ดาปะ...อ๋อในใจทันที

ใช่พี่เอง..ดาตอบ

วันนี้พี่ดาไปไหนปะ..เดี๋ยวโอ็ทจะพาเพื่อนใหม่ไปหานะ...อืม.. พี่เค้ากินมังสะนะพี่ดา

ดีเลยที่บ้านดานะยังไม่ได้ไปซื้ออะไร นอกจากผักติดตู้เย็นนิดหน่อยเอง

นั่นโอ็ทกินมังสะตามพี่เค้าก็ได้...

เออ...ดาได้ยินอย่างนี้...เลยตอบว่าโอเคหน่อย มาได้มากินบ้านพี่ก็แล้วกัน

โอ็ทบอกแค่ว่านัดพี่เค้ามาบ้านโอ็ท 10.00 น.และมาต่อบ้านดาเลย

วางสายเสร็จ จัดการหันไปมองนาฬิกาว่ากี่โมงแล้ว...อืมเกือบเก้าโมง

ดาจัดการเปิดตู้เย็นสหายรัก ที่ยืนเด่นกลางบ้าน ว่าเธอแอบซ่อนอะไรบ้างในท้องห้องตัวเอง  สายตาก็เลือบไปเห็นเต้าหู้หนึ่งแพ็ค เห็ดสด ต้นกระเทียม มะเขือม่วง  นั้นจัดการเมนูง่ายๆไปก่อนนะวันนี้

เต้าหู้ทอดผัดเห็ด


มะเขือม่วงผัดเต้าเจี้ยวกับเต้าหู้ทอด


แกงป่าหมูกับมันหวาน



แตงโม...โอ็ทนำมา


สตอเบอรี่สด



น้ำปั่นสตอเบอรี่ผสมกับแตงโม


จัดการตั้งโต๊ะแบบว่าคุยหรือแนะนำตัวกันทีหลังเลย หิวจัดมาก เพราะโอ็ทมาถึงบ้านสายเหมือนเดิม


ท่าโอ็ทโม้ว่าอร่อย ทั้งที่ยังไม่ได้ตักชิมเลย ภาพมันฟ้องนะ


กินอิ่มอร่อยเรียบร้อย นางแบบจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ขนมาเพียบไม่รู้กี่ชุด ออกมาใส่ และถ่ายภาพกันตั้งแต่บ่าย กว่าจะเสร็จก็เกือบห้าโมงเย็น และร่ำลากันเพื่อกลับบ้านใครบ้านมัน

นางแบบโพสเทตวันนี้
ถ่ายได้น้อยมาก เนื่องจากกล้ามแขนชาไปข้างหนึ่ง ประคองกล้องนานๆไม่ไหว
แต่ก็พอได้ภาพงามๆมาบ้างละ






My photo
ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษ ยังมีโมหะ โทสะ โลภ โกรธและหลง เหมือนกับคนอื่นๆ แต่ทุกลมหายใจ ณ.เวลานี้ มีแต่วันนี้และพรุ่งนี้ คิดดี ทำดี และเป็นกัลยาณมิตรที่ดี สร้างกุศลให้ลูกหลาน