Tuesday, May 29, 2012

คนเช่นไรจึงจะหาทรัพย์ได้

คนเช่นไรจึงจะหาทรัพย์ได้

คำว่า “ทรัพย์” มี 2 อย่างคือ โลกิยทรัพย์ ได้แก่ สมบัติ เงิน ทอง เป็นต้นอันเป็นทรัพย์ภายนอก และ โลกุตรทรัพย์ ได้แก่ 
สัทธา เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ 
ศีล รักษากายวาจาให้เรียบร้อย 
หิริ ความละอายต่อบาปทุจริต 
โอตตัปปะ สะดุ้งกลัวต่อบาป 
พาหุสัจจะ ความเป็นคนเคยได้ยินได้ฟังมามาก คือ ทรงจำธรรมและรู้ศิลปะวิทยามากมาก
จาคะ สละให้ปันสิ่งของของตนแก่คนที่ควรให้ปัน ปัญญา รอบรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ อันเรียกได้ว่าเป็นทรัพย์ภายใน  

 ในที่นี้จะขอกล่าวเฉพาะแต่โลกิยทรัพย์เท่านั้น ขึ้นชื่อว่า “ทรัพย์” ใครก็อยากได้ ใครก็ปรารถนา เพราะ “ทรัพย์” นั้นจะกล่าวไปก็คล้ายกับแก้วสารพัดนึก สามารถจะดลบันดาลทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเจ้าของได้ คนมีทรัพย์จะได้รับการยกย่องเชิดชู

 ในครั้งพุทธกาล พระราชาทรงตั้งไว้ในตำแหน่ง“เศรษฐี” มีธนัญชัยเศรษฐี อนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นต้น ปัจจุบันนี้ คนมีทรัพย์ ใครๆ ก็นับเป็นญาติ ไปไหนมาไหนทุกคนก็เกรงใจให้เกียรติ ทุกคนจึงแสวงหาแต่ทรัพย์กัน วันๆ หนึ่งคนเราจะสาละวนยุ่งอยู่กับธุระหน้าที่การงาน ก็เพื่อทรัพย์ทั้งนั้น คนไม่ขยันก็ไม่สามารถจะหาทรัพย์ได้ ต้องเป็นคนขยันเท่านั้น

 คนเช่นไรได้ชื่อว่าเป็นคนขยัน คนขยันมีลักษณะ คือ คนขยันจะก้มหน้าก้มตาทำงานโดยไม่เกี่ยงว่า อากาศมันหนาวเกินไป อากาศมันร้อนเกินไป ทำงานได้ทั้งนั้นไม่ว่าจะอยู่ในสภาพดินฟ้าอากาศอย่างไร ไม่ผลัดวันประกันพรุ่งว่า เวลานี้เย็นแล้วแล้วพรุ่งนี้ค่อยทำเถอะ เวลานี้ยังเช้าอยู่สายหน่อยค่อยทำ ไม่ปริปากบ่นว่า หิวมากขอกินก่อน กระหายนักขอดื่มก่อน ลักษณะอย่างนี้เรียกว่า คนขยัน
แต่คนอีกประเภทหนึ่ง ไม่จัดว่าเป็นคนขยัน คือขยันในการขอ คนประเภทนี้ไม่ยอมทำการทำงาน ทั้งๆ ที่อวัยวะก็มีครบทั้ง 32 ประการ ไม่พิกลพิการในส่วนใด เที่ยวขอเขากินเรื่อยไป คนประเภทนี้ไม่จัดว่าเป็นคนขยัน ถึงจะขยันก็ขยันแบบขี้เกียจ คนขยันต้องขยันในการทำงาน ที่เกิดขึ้นจากน้ำพักจ้ำแรงของตนอย่างมีเกียรติ ไม่กินแรงผู้อื่น ไม่เอาเปรียบผู้อื่น ไม่เป็นผู้ที่ถูกดูหมิ่นดูแคลนจากผู้อื่น คนพิการทางร่างกาย อวัยวะไม่สมประกอบ ไม่สามารถประกอบกิจในหน้าที่การงาน คือทำมาหากินได้ อย่างนี้สมควรจะได้รับความเมตตาจากผู้คน
ก็เป็นอันว่า คนขยันเท่านั้นจึงจะหาทรัพย์ได้ คนขี้เกียจไม่ต้องพูดถึง ความสำคัญของการที่ได้ทรัพย์มาแล้วจะทำอย่างไร จึงจะรักษาทรัพย์นั้นไว้ได้ ถ้าหากหามาได้แล้วเก็บไว้ไม่อยู่มันก็ไม่มีประโยชน์ เหมือนเอาภาชนะก้นกลวงไปตักน้ำ ตักได้น้ำเต็มภาชนะแล้วน้ำไม่อยู่จะมีประโยชน์อะไร
ประโยชน์ของการมีทรัพย์อยู่ที่การรู้จักรักษาทรัพย์ที่หามาได้นั้นไว้ให้ได้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แนะวิธีรักษาทรัพย์ที่หามาได้ว่า “ผู้ขยันในหน้าที่การงาน ไม่ประมาท เข้าใจจัดการเลี้ยงชีวิตพอสมควร จึงรักษาทรัพย์ที่หามาได้” พระพุทธภาษิตบทนี้ ได้ตรัสสอนผู้ที่แสวงหาทรัพย์มาได้แล้ว จะรักษาทรัพย์นั้นไว้ให้ได้ จะต้องไม่ประมาทในทรัพย์นั้

 อย่างไรจึงได้ชื่อว่า ประมาทในทรัพย์ คนบางคนแสวงหาทรัพย์มาได้โดยง่าย เมื่อได้มาแล้วก็ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย ไม่รู้จักเก็บหอมรอมริบเอาไว้ใช้ในยามคับขันจำเป็น ด้วยคิดเห็นว่า เงินทองจะเอาเท่าไรก็ได้ บางรายใช้จ่ายเกินตัว อย่างนี้จะมีเงินที่ไหนไปเก็บ การที่จะรักษาทรัพย์ไว้ได้อยู่ที่การรู้จักประหยัด รู้จักมัธยัสถ์ โดยนิสัยคนไทยเราเป็นคนใช้จ่ายฟุ่มเฟือยไม่ค่อยรู้จักประหยัด ชอบฟุ้งเฟ้อไปตามกระแสแฟชั่น อะไรที่ใหม่ๆ เข้ามาก็จะพากันนิยมชมชอบ ถึงแม้ราคาจะแพง ก็พยายามขันแข่งกันมีให้ได้ เข้าทำนองที่ว่า “รายได้น้อยแต่รสนิยมสูง” อย่างนี้ได้ชื่อว่าประมาทในทรัพย์
ให้เข้าใจจัดการเลี้ยงชีวิตพอสมควร หมายความว่า ให้จับจ่ายใช้สอยเลี้ยงชีวิตให้พอเหมาะพอควรแก่ทรัพย์ที่หามาได้ ไม่ให้ฝืดเคืองจนเกินไป และก็ไม่ให้ฟุ่มเฟือยจนเกินไป บางคนทำมาหาได้ แทนที่จะนำทรัพย์นั้นมาใช้จ่ายให้มีความสุขบ้าง ก็เก็บไว้หมด แต่ตัวเองกลับอดอยาก อย่างนี้ก็ไม่ถูก หรือฟุ่มเฟือยเกินไป พอทำมาหาได้ก็กินแต่อาหารดีๆ แพงๆ ไม่พอเหมาะพอควร ต้องควบคุมให้อยู่ในความพอเหมาะพอควรแก่ทรัพย์ที่หามาได้

 การที่จะใช้จ่ายทรัพย์ที่หามาได้นั้น จะใช้จ่ายอย่างไรจึงจะถูกต้อง จึงจะดี ก็ต้องใช้จ่ายในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ประโยชน์ที่เกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์ที่มีอยู่ ท่านกล่าวไว้ 5 อย่าง คือ
1. ใช้เลี้ยงตัวเอง เลี้ยงบิดามารดา เลี้ยงบุตร ภรรยา เลี้ยงลูกจ้าง คนงานให้เป็นสุข
2. ใช้เลี้ยงเพื่อนฝูงให้เป็นสุข
3. ใช้บำบัดอันตรายที่เกิดแต่เหตุต่างๆ
4. ใช้ทำพลีกรรม คือ สงเคราะห์ญาติ ต้อนรับแขก ทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย ถวายหลวง มีเสียภาษีอากรเป็นต้น ทำบุญอุทิศให้เทวดา
5. บริจาคทานแก่ สมณะ ชีพราหมณ์ ผู้ประพฤติชอบ



  ผู้ที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นพ่อบ้านหรือแม่บ้าน ถ้าประสงค์จะให้ครอบครัวของตนมีหลักฐานมั่นคง มีความสุข ต้องปฏิบัติตามธรรมดังกล่าวมา เพราะเมื่อต่างคนต่างนำเอาหลักธรรมดังกล่าวนี้ไปประพฤติปฏิบัติแล้วแต่ละครอบครัวก็จะมีหลักฐานมั่นคง อยู่กันอย่างมีความสุข เมื่อครอบครัวมั่นคงเป็นสุขแล้ว ประเทศชาติก็จะมีหลักฐานมั่นคงไปด้วย

พระมหาวินัย วินยธโร
วัดเทวราชเวนิส เมืองเตรวิโซ่ ประเทศอิตาลี

โดย...ดาขอทำหน้าที่เป็นสะพานบุญแก่เพื่อนๆทุกคนที่แวะเยี่ยมเยียนบ้านหลังนี้ ขอให้ทุกท่านมีความสุขถ้วนหน้า สาธุ สาธุ


2 comments:

  1. เห็นภาพตอนแรกนีกว่าพี่ดาไปสวรรค์มานะเนี่ย...^--^

    สาธุ

    ReplyDelete
  2. 55555 อ่านผ่อนคลายนะโอ็ท อยากไปอยู่ คงจะเร็วๆๆวันนี้ละคะ สังขารไม่เที่ยง

    ReplyDelete

My photo
ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษ ยังมีโมหะ โทสะ โลภ โกรธและหลง เหมือนกับคนอื่นๆ แต่ทุกลมหายใจ ณ.เวลานี้ มีแต่วันนี้และพรุ่งนี้ คิดดี ทำดี และเป็นกัลยาณมิตรที่ดี สร้างกุศลให้ลูกหลาน